ทุกวันนี้ เรามีการประชุมเรื่องเออีซี (AEC) ทั่วประเทศไม่เว้นแต่ละวัน
ถามว่า ได้ข้อสรุปอะไรบ้าง คำตอบที่ตรงกันก็คือ
เราต้องเพิ่มเติมทักษะด้านภาษาอังกฤษ
คำตอบนี้ที่จริงไม่ต้องประชุมกันเลยก็รู้กันดีอยู่แล้ว
ภาษาอังกฤษของคนไทยแทบจะนับได้ว่าอ่อนที่สุดในอาเซียน (ASEAN)
ที่จริงถ้าสรุปได้แค่นี้
น่าจะดีกว่าถ้าเอาเงินงบประมาณที่จัดประชุมไปแจกเงินให้ทั้งคนจัดและคนที่
เข้าร่วมประชุม นักเรียน นักศึกษา ผู้ประกอบการ
และข้าราชการที่เกี่ยวข้องเรียนภาษาอังกฤษให้ใช้การได้
ทำไมถึงแจกให้คนที่เข้าร่วมประชุม
ก็เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่สนใจเออีซี
(ถึงแม้จะมีบางคนมาประชุมเพราะที่ทำงานไม่มอบหมายงานอะไรให้ทำก็ตาม)
ที่จริงประเทศในอาเซียนได้เปิดเสรีการค้า
บริการและการลงทุนอย่างเป็ นขั้นตอนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว การเปิดเสรีใน 3
ปีข้างหน้าที่เห็นว่าใหม่
น่าจะเป็นการเปิดเสรีให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานทักษะสูงและแรงงานวิชาชีพ
ขั้นสูง เช่น แพทย์ นางพยาบาล
ผู้เขียนอยากจะขอยกบริการด้านสุขภาพขึ้นมาเป็นตัวอย่าง
เพราะเกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีของการเคลื่อนย้ายแรงงานวิชาชีพและทักษะสูง
โดยตรง
การให้บริการสุขภาพให้แก่ชาวต่างประเทศในขณะนี้ มักจะรู้จักกันในนามของ
เมดิคัล ทูริสซึ่ม (Medical tourism) หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ซึ่งมีคำนิยามว่า หมายถึง
ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศมารับบริการด้านสุขภาพและการแพทย์ แต่คำนิยามนี้
แคบไปแล้วสำหรับโลกไร้พรมแดนในยุคนี้ เพราะไม่ใช่คนเท่านั้นที่เดินทาง
ข้อมูลสุขภาพก็เดินทางได้ ยา วัคซีน ฯลฯ ต่างก็เดินทางได้ทั้งนั้น
แม้แต่ตัวผู้ให้บริการเองก็เดินทางได้ เช่น
เฮลิคอปเตอร์พาแพทย์ไปให้การรักษาคนไข้ที่พักอยู่บนเกาะ
การให้บริการสุขภาพจึงไม่ใช่แค่คอยคนไข้มารับบริการ
ถึงแม้ว่าการเดินทางของคนไข้จะเป็นสัดส่วนกลุ่มก้อนที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้
ก็ตาม เมื่อมีเออีซีเราต้องขยายการมองภาพสินค้าและบริการใหม่ให้กว้างขึ้น
การให้บริการสุขภาพแบบไร้พรมแดน
ความเข้าใจและการให้คำนิยามที่ถูกต้องนี้สำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับ
นโยบายการลงทุนของภาคเอกชนและนโยบายของรัฐอย่างยิ่ง
คำนิยามอย่างแคบจะทำให้เรามี นโยบายปิดกั้น เพราะเราอยากเป็นฮับ (Hub)
ที่มีผู้รับบริการวิ่งเข้ามาและอยากให้ทุกคน ทุกอย่างมาเมืองไทย
แต่หากเข้าใจแนวโน้มสินค้าและบริการอย่างที่เป็นอยู่ และกำลังจะเป็นไปแล้ว
เราจะเข้าใจว่า ถึงเราจะปิดกั้นไว้ก็ไม่สำเร็จ
เพราะในที่สุดหมอก็เดินทางออกไปได้ ข้อมูลก็เดินทางได้ ยาก็เดินทางได้
ในคำนิยามและความเข้าใจสินค้าและบริการสุขภาพอย่างกว้าง การเป็นพันธมิตรกับ
โรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานในอาเซียน
การขยายการลงทุนตั้งโรงพยาบาลทั้งในและนอกประเทศกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ
เมื่อนิยามสินค้าและบริการชัดเจนแล้ว ต่อมาก็คือ จะทำอย่างไรให้สินค้าของเรามีความน่าดึงดูดใจ
ความน่าดึง ดูดใจของสินค้าและบริการด้านการแพทย์ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของ
วงการแพทย์ของ ประเทศนั้นๆ
สองเป็นเรื่องของความพร้อมและมาตรฐานของสถานพยาบาล ชื่อเสียงนี้มี 2
องค์ประกอบ องค์ประกอบด้านความรู้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในภาคเอกชนเท่านั้น
เป็นองค์ความรู้ในวงการแพทย์ของรัฐและในสถานศึกษา
ซึ่งประเทศไทยก็มีภาษีอยู่ มหาวิทยาลัยวิจัย (Research universities) 3
แห่งคือ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่างก็มีผลงานขึ้นทำเนียบ TOP 200 ระดับนานาชาติ
เป็นที่รู้จักในวงการแพทย์ระดับโลก
นโยบายสาธารณะในด้านการประชาสัมพันธ์นี้ก็ต้องเผยแพร่ความเข้าใจนี้ออกไปใน
สื่อต่างๆ ทั้งใน ซีเอ็นเอ็น และ อัลจาซีรา และการจัดประชุมนานาชาติ
ไม่ใช่ทำแต่ โรดโชว์ แค่สถานพยาบาล ต้องให้รู้กันว่า
มีอะไรที่หมอที่อื่นทำไม่ได้ แต่หมอไทยทำได้
ชื่อเสียงนี้ไม่ใช่เฉพาะแค่ตัวหมอหนึ่งหรือสิบท่าน
เป็นชื่อเสียงของวงการทั้งหมด
รวมทั้งต้องสนับสนุนการประชุมนานาชาติด้านการแพทย์ในประเทศไทย
เมื่อนิยามสินค้าและบริการชัดเจนแล้ว ถัดไปก็คือ
ต้องเข้าใจปัจจัยที่ทำให้ผู้รับบริการหรือข้อมูลเคลื่อนมาหาเรา
ปัจจัยแรกก็คือ
ไม่มีบริการหรือข้อมูลประเภทที่ต้องการในประเทศเขาหรือหากมีก็ไม่ได้คุณภาพ
กลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าจากประเทศด้อยพัฒนา ปัจจัยที่ 2 ก็คือ
คุณภาพคุ้มหรือเกินกว่าราคา ปัจจัยที่ 3 ก็คือ เวลาในการรอรับบริการ
ซึ่งในประเทศเขาอาจจะใช้เวลามาก สองกลุ่มหลังนี้เป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
แต่ตลาดกลุ่มแรกกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
จนเราไม่ต้องแข่งขันเรื่องราคาอีกต่อไป ประเด็นนโยบายที่สำคัญก็คือ
ทำอย่างไรให้ฮับของเราขยายตัว บุคลากรของเรา (ทั้งไทยและเทศ) ขยายตัว
ทั้งคนไข้ไทยและต่างชาติได้รับบริการดีขึ้นและถ้าเป็นไปได้ค่าบริการของคน
ไทยถูกลง
ดังนั้น
เป้าหมายของผลประโยชน์ที่ได้จากเออีซีตัวชี้วัดความสำเร็จในระยะยาว คือ
ผลการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์เป็นบวกสุทธิ สำหรับคนไทยแล้ว ถ้า
ส่งเสริมเมดิคัล ฮับแล้ว บุคลากรทางแพทย์ของประเทศไทยหายหน้าไปหมด
ประชาชนต้องลำบากแน่ แน่นอนคงมีแพทย์ พยาบาลไทยออกไปบ้าง
แต่คนอื่นก็น่าจะอยากเข้ามาประเทศไทยรวมทั้งแพทย์ไทยที่ไปตั้งรกรากต่าง
ประเทศอาจจะอยากกลับบ้าน เพราะเมืองไทยแสนน่าอภิรมย์ น่าอยู่
ต้นทุนค่าครองชีพต่ำกว่าสิงคโปร์ ถ้านโยบายของเราไม่ปิดกั้นเกินไป
และดึงดูดใจมากพอสมควร เราน่าจะได้ดุลมากกว่าเสียดุล ดังนั้น
เราควรมีนโยบายส่งเสริมหมอคืนถิ่น
ถ้าไม่อยากให้หมอและพยาบาลไทยออกไปทำงานต่างประเทศ
เราก็ต้องมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านการให้บริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นใน
ประเทศไทย ต้องดูว่าอัตราภาษีรายได้ของการประกอบกิจกรรมของแพทย์เป็นอย่างไร
อย่าลืมว่าแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนของไทย
ไม่ใช่ลูกจ้างโรงพยาบาลแต่เป็นผู้ประกอบการวิชาชีพอิสระโดยอาศัยบริการของ
โรงพยาบาลประชาชน ดังนั้น เราก็ต้องไปดูนโยบายภาษีของเรา
โดยเปรียบเทียบกับนโยบายของประเทศอาเซียนอื่นๆ ว่าเป็นอย่างไร
ขณะที่รัฐบาลไทยลดภาษีนิติบุคคลแล้ว
แต่ภาษีบุคคลธรรมดายังสูงอยู่ในช่วงเงินเดือนแพทย์พอดี
นอกจากนี้การส่งเสริมการลงทุนของนานาชาติในการตั้งโรงพยาบาลไทย
และส่งเสริมโรงพยาบาลไทยให้มีสาขาในต่างประเทศน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
อีกประเด็นที่สำคัญมากก็คือ หากบุคลากรในประเทศไม่เพียงพอ
ทำอย่างไรสภาวิชาชีพในที่นี้คือแพทยสภาจะยอมให้บุคลา กรต่างชาติมาให้บริการ
ในประเทศไทย โดยไม่ต้องสอบใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะภาษาไทย
แต่ต้องจำกัดให้เป็นการให้บริการกับชาวต่างชาติเท่านั้น
ถ้าไม่คลายปมตรงนี้เราก็ไม่ได้ประโยชน์จากเออีซี
และโรงพยาบาลไทยอาจจะกลายเป็นโรงพยาบาลบริวารของที่อื่นไปหมด
โอกาสของเมดิคัล ฮับ ยังมีอีกมาก ในขณะนี้เราทำแค่ขายปลีก (Retailing)
คือ ลูกค้าและข้อมูลของลูกค้าเข้ามาทีละคน ตลาดใหญ่นั้นเป็นตลาดขายส่ง คือ
ทำสัญญาล่วงหน้าเป็นล็อตใหญ่ ทำสัญญาเปลี่ยนเข่าทีละ 2,000 ข้าง ทำฟันปลอม
3,000 ชุด!!
มาถึงจุดนี้ก็ต้องมาดูนโยบายสาธารณะด้านการผลิตบุคลากร
ซึ่งเราต้องเร่งสร้างมาเพิ่มเติมในระยะยาว
แต่ในระยะสั้นเราต้องให้บุคลากรต่างชาติเข้ามา
เราก็อาจให้เขาสอนนักศึกษาไทยได้
ก็ต้องยอมให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดโปรแกรมสอนแพทย์ภาษาอังกฤษโดยรับนักศึกษา
ต่างประเทศด้วย หากคิดว่าแมวสีอะไรก็ไม่สำคัญถ้าจับหนูได้
หมอชาติอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าคนไข้กับหมอพูดภาษาอังกฤษได้
ก็น่าจะให้รักษากันได้ ทำแบบนี้ประเทศไทยก็จะไม่ขาดหมอ
ณ ตรงนี้ ก็ต้องมีนโยบายรักษามาตรฐานและถ่ายทอดเทคโนโลยี
ซึ่งในด้านการแพทย์ อาจต้องมีเป็นตัวชี้วัดแบบ Process มากกว่าแบบปริมาณ
เช่น ไม่ใช่นับว่ารักษาคนไข้หายได้กี่คนเท่านั้น
แต่ต้องมีกระบวนการรักษาร่วมกันระหว่างแพทย์ไทยกับแพทย์ต่างชาติ
การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการปรับระดับมาตรฐานเข้าหากัน
และให้สูงขึ้นในระยะยาว
ขณะนี้สถาบันกำลังทำวิจัยเรื่อง เมดิคัล ทูริสซึ่ม
ซึ่งมีอาจารย์กันต์สินี กันทะวงศ์วาร เป็นนักวิจัยหลัก
ซึ่งผู้เขียนจะพยายามนำผลการศึกษามาแลกเปลี่ยนกันเป็นระยะๆระหว่างนี้ก็ออก
กำลังกายรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
ที่มา: นสพ.มติชน วันที่ 24 ตุลาคม 2555