หน้าร้อนปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาประเมินว่า กลางเดือนเมษายนอากาศร้อนจัด อุณหภูมิสูงสุดอาจสูงถึง 43-44 องศาเซลเซียส โรคที่เกิดจากอากาศร้อนที่พบบ่อยและอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตคือ โรคลมแดด หรือฮีทสโตรค (Heat Stroke) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการเจ็บป่วยที่รุนแรง เกิดจากการอยู่หรือออกกำลังกายหรือทำงานในที่อากาศร้อนจัดเป็นเวลานานจนร่าง กายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมระดับ ความร้อนในร่างกายได้ มีผลกับการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งระบบประสาท ส่งผลทำให้เสียชีวิตจากอวัยวะต่างๆทำงานล้มเหลวได้
นายแพทย์ อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า อาการของผู้ที่เป็นลมแดด ได้แก่ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีเหงื่อออก รู้สึกกระหายน้ำมาก ตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เพ้อ ชัก มึนงง หน้ามืด หากไม่ได้รับการดูแล อย่างทันท่วงทีอาจทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้หาก พบผู้มีอาการโรคลมแดด ขอให้รีบนำเข้าที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น คลายชุดชั้นใน ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น น้ำแข็ง ประคบตามซอกคอ หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบ ร่วมกับใช้พัดลมเป่า เพื่อระบายความร้อนและลดอุณหภูมิร่างกายให้ต่ำลงอย่างรวดเร็วที่สุด หากไม่หมดสติให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ และนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วสำหรับ วิธีป้องกันโรคลมแดด หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัด ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน สวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย สีอ่อน ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดรูป สวมแว่นกันแดด กางร่ม ทาโลชั่นกันแดดควร ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนรู้สึกกระหายหรือริมฝีปากแห้ง ควรดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนออกนอกบ้านในวันที่อากาศร้อน เลือกออกกำลังกายช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยง การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ดูแลไม่ให้เด็ก ผู้สูงอายุ อยู่กลางแดดหรือในรถที่จอดตากแดด ผู้มีโรคเรื้อรังให้รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๗ จังหวัดขอนแก่น ย้ำเตือนโดยเฉพาะ ๔ กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากเสี่ยงเกิดโรคนี้ได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนอ้วน และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะขาดน้ำ ภาวะทางจิต การดื่มสุรา รวมทั้งการออกกำลังกายในที่อากาศร้อนและมากเกินไปทำให้ร่างกายเกิดภาวะเครียด ร่างกายระบายความร้อนไม่ทันจนเกินขีดที่ร่างกายจะทนไหว ดังนั้นประชาชนจึงต้องระวังอาการสำคัญที่จะบ่งชี้ถึงอันตราย ได้แก่ ผิวหนังแดงร้อนและแห้ง ไม่มีเหงื่อ หน้าซีด ชีพจรเต้นแรง ปวดศีรษะตุ๊บๆ วิงเวียน,คลื่นไส้,สับสน,อ่อนแรง หากเริ่มมีอาการดังกล่าวให้รีบพักเข้าในที่ร่มทันที รีบปฐมพยาบาลโดยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว ส่วนในรายที่อาการหนักไม่รู้สึกตัว ไม่ควรให้ดื่มน้ำ หลังจากดูแลเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้ส่งพบแพทย์ทันที ส่วนนักกีฬากลางแจ้ง ควรมีการอุ่นร่างกายอย่างเหมาะสม หากมีอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ ควรหยุดออกกำลังกาย และดื่มน้ำที่มีเกลือแร่ ไม่ควรออกกำลังกายซ้ำภายใน ๒-๓ ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคจากความร้อนซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษได้แก่ เด็กทารกและเด็กเล็กผู้มีอายุมากกว่า ๖๕ ปี ผู้ที่มีโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ผู้ที่ออกกำลังกายหรือใช้แรงงานอย่างหนัก ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือกำลังรับประทานยาบางชนิด เช่น ยารักษาภาวะซึมเศร้านอนไม่หลับ การปฏิบัติตัวเพื่อให้ร่างกายปรับสภาพป้องกันอันตรายในช่วงที่มีอากาศร้อน ได้แก่ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อยวันละ ๖-๘ แก้ว ในกรณีที่ออกกำลังกายให้ดื่มน้ำเย็น ๒-๔ แก้ว ทุกชั่วโมง ถ้าสูญเสียเหงื่อมากให้ดื่มน้ำเกลือแร่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลวมๆที่เบาสบายสีอ่อนๆ ถ้าออกนอกบ้านควรสวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด ทาครีมกันแดด ๓๐ นาทีก่อนออกแดด หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรจัดสรรตารางกิจกรรมนอกบ้านให้อยู่ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นที่แดดไม่จัด กรณีอากาศร้อนจัดมากให้อาบน้ำ หรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว