เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2558 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงนี้สภาพอากาศแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงบ่อย ทั้งฝนตกสลับอากาศร้อน อาจทำให้ประชาชนเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ที่พบได้บ่อยในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษที่เมื่อป่วยแล้วจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ คือกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ จากข้อมูลระบบเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-6 กันยายน 2558 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วประเทศ จำนวน44,719 ราย และเสียชีวิต 24 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ อายุ 25-34 ปี (11.75%) อายุ 15-24 ปี (10.90%) และอายุ 10-14 ปี (10.50%) ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกคือ เชียงใหม่ ตราด ลําปาง กรุงเทพมหานคร และระยอง
โรคไข้หวัดใหญ่ สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดปี แต่พบมากในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว พบได้ในประชาชนทุกเพศทุกวัย ซึ่งโดยทั่วไปเชื้อจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย หลังจากได้รับเชื้อแล้วทำให้มีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย คือ ปอดบวม หลอดลมอักเสบ หากอาการรุนแรงอาจมีอันตรายถึงชีวิต
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่เมื่อป่วยแล้วจะมีอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี หญิงตั้งครรภ์ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้มีภูมิต้านทานโรคต่ำ และผู้มีโรคอ้วน หากมีอาการสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ให้รีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากหากได้ยาต้านไวรัสทันท่วงที จะทำให้อาการป่วยหายได้เร็วและไม่รุนแรง นอกจากนี้ หากพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ในสถานที่ที่คนอยู่จำนวนมาก เช่น โรงเรียน สถานศึกษา โรงงาน สำนักงานต่างๆ แนะนำให้ผู้ป่วยหยุดเรียน หรือหยุดทำงานและให้อยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ และให้ทำความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โต๊ะอาหาร ด้วยน้ำผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป และเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
“ขอแนะนำประชาชนว่า โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยตนเอง โดยการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานๆ โดยไม่จำเป็น ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการตากฝน ถูกอากาศร้อนจัดหรือเย็นจัด ที่สำคัญคือหลังจากดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดแล้ว ให้ดูแลสุขภาพอนามัยตนเองด้วย ส่วนการใช้หน้ากากอนามัย จะมีประโยชน์มากในการใช้กับผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่ต้องอยู่ในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น เหนื่อยหอบ หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ขอให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที ถ้าประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422” นายแพทย์โอภาส กล่าว