สคร.๖ เตือนกลุ่มเสี่ยงระวังป่วยปอดบวม ปีนี้พบผู้ป่วยแล้วเกือบ 1 แสนรายย้ำปอดบวมป้องกันได้
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๖ ขอนแก่น เตือนกลุ่มเสี่ยงป่วยโรคปอดบวม ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และผู้มีภูมิต้านทานต่ำ ย้ำให้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ไปในสถานที่แออัด และสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค หากเจ็บป่วยด้วยอาการไข้ ปวดศีรษะ หายใจลำบากควรรีบปรึกษาแพทย์
พญ.ศศิธร ตั้งสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ สคร.๖ ขอนแก่นกล่าวว่า ระยะนี้อากาศยังคงหนาวเย็นโดยเฉพาะช่วงเวลาพลบค่ำถึงเช้ามืดโดยเฉพาะบริเวณภูเขาและที่ราบสูง ประชาชนอาจป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่จะป่วยด้วยอาการของไข้หวัดนำมาก่อน ซึ่งหากอาการไม่หนักมากจะสามารถรักษาตัวเองที่บ้านได้และจะหายได้เองภายใน ๓-๕ วัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเช่นมีอาการไข้สูง อ่อนเพลียมาก หายใจเร็ว หายใจลำบาก อาจลามป่วยเป็นโรคปอดบวม ซึ่งเป็นอันตรายอาจถึงกับเสียชีวิตได้ โรคปอดบวมเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่เกิดอาการอักเสบบริเวณเนื้อปอดและหลอดลม ซึ่งส่งผลให้การทำงานของปอดลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบและเกิดภาวะขาดออกซิเจนได้ โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสได้หลายชนิด ผู้ป่วยจะมีไข้ ไอ มีเสมหะมาก หายใจเร็ว หอบ เหนื่อย ในเด็กเล็กมักสังเกตพบอาการหายใจเร็วกว่าปกติ (ในเด็กปกติจะมีอัตราการหายใจประมาณ 40 ครั้งต่อนาที) อาการเหล่านี้อาจจะพบตามหลังอาการโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือหลอดลมอักเสบได้ หากปอดบวมรุนแรง อาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลว จนเกิดภาวะขาดออกซิเจน หรือติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้ กรณีผู้ป่วย
เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนโรคปอดบวม ได้แก่ ไข้สูง เด็กมีอาการซึม ไม่กินนม ไม่กินน้ำ หายใจหอบเร็วเสียงดังหวีดหายใจซี่โครงบุ๋ม ต้องรีบไปพบแพทย์ กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังคือ ผู้ใหญ่วัย 50 ปีขึ้นไปและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ยังรวมไปถึงผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและโรคเรื้อรังอื่นๆ เชื้อนำโรคปอดบวมสามารถติดต่อได้โดยผ่านระบบทางเดินหายใจ เช่น การไอ จาม และการสัมผัสกับละอองเสมหะของผู้ป่วย ปัจจุบันพบว่า มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควร ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยประชาชนตั้งแต่เด็กเล็ก ผู้ใหญ่วัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ก็ควรหันมาใส่ใจกับเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพโดยเริ่มที่การรับประทานอาหารให้ครบหมู่ หาเวลาในการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หมั่นล้างมือบ่อยๆให้ติดจนเป็นนิสัย ที่สำคัญเมื่อป่วยแล้วต้องป้องกันการแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่นโดยสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หากป่วยเป็นหวัดไม่มีอาการแทรกซ้อน สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ โดยการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำ หรือน้ำผลไม้ น้ำซุป หรืออาจใช้น้ำเกลือแร่ร่วมด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ และหากมีอาการไข้สูงมาก มีอาการหอบ หายใจลำบาก เวลาหายใจมีเสียงดัง หน้าอกบุ๋มในเด็กเล็กหรือแน่นหน้าอกให้รีบไปพบแพทย์ทันที
สธ.เตือน ไข้สุกใสระบาดช่วงฤดูหนาว ! แต่ละปีพบผู้ป่วย 5-9 หมื่นราย ให้ระวังเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ แต่ละปีพบผู้ป่วย 50,000-90,000 ราย มักพบมากตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม เน้นการดูแลป้องกันตัวเองไม่ให้ป่วย โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ อาการโรคนี้สังเกตได้ง่าย เริ่มจากไข้สูงปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดและมีตุ่มนูนคันขึ้นที่ไรผมและตามตัว แนะหากป่วยควรพบแพทย์ เพื่อลดโรคแทรกซ้อนอันตราย นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงที่อากาศหนาวเย็น โรคที่มีความเสี่ยงจะระบาดได้ง่ายก็คือ โรคอีสุกอีใส (CHICKEN POX) หรือไข้สุกใส เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็นชื้น พบได้ในคนทุกอายุที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรค มีโอกาสเกิดความรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคไข้สุกใสย้อนหลัง 10 ปี ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบต่อปีมีผู้ป่วยโรคนี้ 50,000-90,000 ราย และมีแนวโน้มจะพบมากขึ้นพบผู้ป่วยมากตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม โรคนี้มักพบระบาดในที่อยู่ร่วมกัน เช่น โรงเรียน โรงงาน ศูนย์เด็กเล็ก เรือนจำ เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้โรคไข้สุกใสเป็น 1 ใน 31 โรคที่ต้องรายงานเมื่อพบผู้ป่วย เพื่อแยกผู้ป่วยไม่ให้ไปสัมผัสกับผู้อื่น และเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ