ฉะเชิงเทรา - แกะหมุดคลายปมทีมฆ่าผู้ใหญ่จบ ก่อนปิดคดีดังสะท้านวงการขยะพิษ

"ถือเป็นความภูมิใจที่ดีที่สุดแล้ว ที่เราสามารถจับคนร้ายได้แบบไม่ผิดตัว" นี่เป็นปากคำจากเสียงบอกเล่า และเอ่ยบอกกับเราของนายตำรวจระดับสูงนายหนึ่ง ในชุดทำงานแกะรอยไล่ล่าคนมีสีมือเปื้อนเลือด แก๊งขยะมรณะทมิฬที่สั่งฆ่าผู้ใหญ่จบ "ประจบ เนาวโอภาส"ที่สวมเปลือกสีของข้าราชการอันทรงเกียรติรับใช้ขบวนการขยะสกปรกจากนายทุน สนองแก๊งสร้างมลพิษจากกากอุตสาหกรรมให้แก่ชาวบ้านหนองแหน

พร้อมยังบอกกับเราอีกด้วยว่า กระบวนการทำงานในช่วงที่ผ่านมานั้น ค่อนข้างอึดอัดยากลำบาก ด้วยเหตุที่อยู่ภายใต้แรงกดดันทั้งจากผู้บังคับบัญชาในระดับที่สูงกว่า และชาวบ้านที่ยังคงมีความหวาดระแวงต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่เพราะด้วยเหตุจากคดีเก่าฆ่าอดีตแกนนำอีกรายเมื่อสองปีก่อน "สุเทพ ทองคำ"ที่ทางตำรวจได้ลงพื้นที่ทำงานกันอย่างเต็มกำลัง จนสามารถสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องไปตามขบวนการจนถึงอัยการแล้ว แต่คดีกลับถูกสั่งไม่ฟ้องความกดดันจึงมาตกอยู่กับการทำงานในครั้งนี้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายใต้ความหวาดระแวงของชาวบ้านที่ขาดความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังเกิดเหตุคนร้ายลงมือสังหารผู้ใหญ่จบแกนนำต่อต้านบ่อขยะพิษหนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา พยานบุคคลแวดล้อมส่วนใหญ่ต่างพากันปิดปากเงียบไม่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพราะความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและเกรงกลัวว่าข้อมูลที่จะให้ต่อเจ้าหน้าที่จะรั่วไหลไปจนถึงหูนายทุนผู้สั่งการ และหวั่นไหวต่อภัยร้ายที่อาจจะลุกลามมาถึงตัว

แต่ทางเจ้าหน้าที่ในทีมสืบสวนทุกนาย ก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะสืบค้นควานหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวเนื่องจากในพื้นที่ทั้งหมด จนรู้ถึงเบาะแสร่องรอยต่างๆ ของคนร้าย ที่ยังมีทิ้งไว้ให้ได้ติดตามแกะรอย ทั้งการเข้าออกพื้นที่ การเข้าพักในโรงแรม การติดตามประกบเหยื่อ ก่อนที่กระบวนการจะจบลงด้วยการสังหารเป้าหมาย

จนท้ายที่สุดนั้นก็สามารถที่จะทำการเข้าล็อกตัวจับกุมมือสังหารพร้อมกระบวนการได้ทั้งหมด จนถึงตัวผู้บงการจ้างวาน ถึงแม้ว่าผู้ต้องหาบางส่วนจะให้การปฏิเสธก็ตาม แต่ก็เชื่อว่าจากพยานหลักฐานทั้งหมดที่คนร้ายไม่รู้ว่าเรามีพร้อมแล้ว ที่จะเอาตัวเข้าตารางได้หมดยกทั้งแก๊งนั้น เขาจึงยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง โดยเฉพาะหมัดเด็ดที่มือปืนผู้ลงมือสังหารนั้น ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งสอดคล้องตรงกันกับพยานหลักฐานที่เรามีอยู่ จนถึงขั้นทำให้เจ้าหน้าที่ระดับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่นั่งในตำแหน่ง ผบ.ตร.เวลานี้ ถึงกับเอ่ยปากออกมาว่า คดีนี้ทีมสืบสวนทำงานจับคนร้ายได้ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อการจับกุมคนร้ายได้แบบยกก๊วน ทั้งขบวนการของเจ้าหน้าตำรวจในครั้งนี้นั้น ได้ก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้เพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงมีบรรดาแกนนำที่ออกมาขับเคลื่อนในการต่อต้านบ่อขยะพิษอีกจำนวนหนึ่ง ที่ยังคงมีความหวาดหวั่นอย่างไม่เสื่อมคลายต่อภัยมืดที่อาจเข้ามาใกล้ถึงตัวเป็นรายต่อไป

ด้วยเหตุที่ทุกคนยังคงเชื่อว่าน่าจะมีขบวนการจ้างวานแฝง แบบลงขันกันตามเก็บแกนนำที่ถูกหมายหัว จากกลุ่มขบวนการที่เสียผลประโยชน์จากบ่อขยะพิษที่ยังมีเหลืออยู่ในพื้นที่อีกหลายราย

มนัส สวัสดี ชายวัยเกษียณ หนึ่งในชาวบ้านที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านบ่อขยะพิษในพื้นที่ กล่าวถึงความเป็นกังวลที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และไม่วางใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า การจับกุมคนร้ายได้ในครั้งนี้นั้นเชื่อว่าเป็นตัวจริง ตรงตามที่ชาวบ้านในพื้นที่รับรู้ แต่ไม่น่าจะหมดสิ้นไปทั้งขบวนการแล้วทั้งหมด และยังเชื่อด้วยว่ายังคงมีกลุ่มทุนที่อาจใช้เงินหนุนในการจ้างวานอีกหลายรายที่ยังถูกสาวไปไม่ถึง

โดยยังคงมั่นใจว่าบริษัท ฟิวชั่น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ไม่ได้ทำแต่เพียงลำพังบริษัทเดียว เพราะจากเหตุการณ์นี้มีผู้เสียผลประโยชน์จำนวนหลายราย ที่ประกอบอาชีพในทำนองเดียวกันอีกมากถึง 4-5 แห่ง หรืออย่างน้อยที่สุดนั้นก็น่าจะมีผู้ร่วมขบวนการอีกไม่ต่ำกว่า 2รายร่วมอยู่ด้วย ทั้งกิจการการคัดแยกวัตถุอันตราย ทั้งกิจการบำบัดน้ำเสีย การรีไซเคิลขยะ น้ำมันเครื่อง และการฝังกลบขยะ ที่ได้มีโรงงานบางแห่งได้ลงทุนกว้านซื้อที่ดินซึ่งเป็นบ่อลูกรังเก่าไร้ราคา เอาไว้ในราคาที่สูงถึงไร่ละ 6 หมื่นบาทอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมไว้สำหรับการนำน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมมาทิ้งโดยที่ไม่ต้องผ่านการบำบัด

ขณะที่ขบวนการที่ทางตำรวจจับกุมมาได้นี้ เป็นเพียงผู้ประกอบการรายเดียวที่ทำธุรกิจประเภท การรีไซเคิลน้ำมันเครื่อง การคัดแยกบำบัดสารหล่อเย็น ที่มักจะปล่อยให้สารเคมี และน้ำมันไหลล้นลงสู่คูคลองสาธารณะ ที่ชาวบ้านใช้เป็นแหล่งต้นทุนน้ำดิบทำประปาหมู่บ้านอยู่เป็นประจำในเวลาที่ฝนตกหนัก

นอกจากนี้เขายังมีโรงงานอีกแห่ง ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกัน ที่เข้าไปก่อตั้งอยู่ในใจกลางชุมชนของ ต.หนองแหน ยังได้รับทำการบดย่อยขยะจำพวกเศษกระจก และกระดาษ รวมไปจนถึงผงแผ่นยิบซัม

ด้าน สุนันท์ นิดร หนุ่มใหญ่วัย 46 ปี ส.อบต.หนองแหน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในแกนนำที่เคยถูกขบวนการล่าค่าหัวหมายปลิดชีพ ระบุเสริมอีกว่า ในเรื่องของความปลอดภัยต่อชาวบ้านนั้น ยังถือว่ายังคงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะเชื่อว่ายังคงมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่เป็นขบวนการที่ใหญ่กว่านี้

โดยกลุ่มผู้เสียประโยชน์ได้ตั้งวงเงินให้แก่กลุ่มมือปืนในการติดตามไล่ล่าค่าหัวแกนนำมากถึง 5 ล้านบาท รวมเป้าหมาย 5 คน ซึ่งทางฝ่ายชาวบ้านได้เคยสูญเสียแกนนำไปแล้วถึง 2 คน คือ นายสุเทพ ทองคำเมื่อ 2 ปีก่อน และผู้ใหญ่ประจบ เนาวโอภาส เมื่อช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา จึงเท่ากับว่ายังคงเหลือเงินรางวัลค่าหัวอีกมากถึง 3 ล้านบาทที่ยังคงเป็นสิ่งล่อใจของมือปืนนักล่ารางวัลให้เข้ามาลงมือสังหารแกนนำในรายที่ยังคงมีค่าหัวหลงเหลืออยู่ สุนันท์ กล่าวถึงความกังวลใจที่ยังคงมีอยู่อย่างไม่คลายความหวาดระแวง

อย่างไรก็ตาม เขายังคงระบุยืนยันถึงตัวคนร้ายที่ทางตำรวจจับได้ว่า ถือว่าชัดเจนไม่ผิดตัวเพราะแกนนำทุกคนนั้นไม่เคยไปมีเรื่องขัดแย้งกับใครมาก่อน นอกจากโรงงานรีไซเคิลแห่งนี้ พร้อมกับกระบวนการสร้างสารพิษให้กับชุมชนอีกทั้ง 5รายที่ยังเหลืออยู่เท่านั้นที่น่าจะมีส่วนในการสังหารแกนนำทั้งสองรายที่ผ่านมา

อีกทั้งยังบอกสำทับถึงชนวนเหตุจนทำให้เกิดความเป็นกังวลระยะที่ 2 อีกด้วยว่า หลังจากผู้ใหญ่ประจบเสียชีวิตลง ยังได้มีคนมาคอยติดตามถ่ายภาพรถของแกนนำไว้ด้วยอีก โดยเฉพาะ "จร เนาวโอภาส" พี่ชายของผู้ใหญ่จบ

โดยปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ยังคงทำให้ชาวบ้านพากันหวาดระแวงอย่างต่อเนื่องนั้นเพราะยังคงมีผู้เสียประโยชน์แบบลูกโซ่ อยู่ในพื้นที่อีกกลุ่มหนึ่งด้วย โดยเฉพาะผู้นำชุมชนท้องถิ่นบางรายที่ถูกกระบวนการกลุ่มนี้ช้อนซื้อด้วยอำนาจเงินในอัตราหนึ่งแสนบาทต่อเดือน ในการหยิบยื่นข้อเสนอที่จะจ่ายให้หากผู้มีบารมีรายนั้นๆสามารถที่จะควบคุมมวลชนคนในตำบลไม่ให้ออกมาร่วม เคลื่อนไหวได้ ซึ่งถือเป็นรูปแบบและวิธีการจัดการมวลชนตามสูตรของนักการเมืองที่นิยมนำมาใช้สกัดฝูงชนกันในยุคสมัยนี้

นอกจากนี้การแฝงตัวเข้ามาของผู้คนจากภายนอกชุมชน ที่สามารถทำได้ง่ายมากขึ้นในยุคปัจจุบัน เพราะเนื่องด้วยมีการเจริญเติบโตในภาคอุตสาหกรรม มีการก่อสร้างตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ผู้คนในหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยแรงงานจากต่างถิ่น ทั้งคนงานก่อสร้าง กลุ่มคนหาปลา ที่ถือเป็นสิ่งล่อแหลมสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่จะทำให้การระมัดระวังตัวของแกนนำนั้นยากมากขึ้น

ขณะที่ พ.ต.อ.วินัย จิตต์ปรุง รอง ผบก. ภ.จว.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ในทางคดีนั้นถือว่าเราได้ทำการจับกุมคนร้ายที่ลงมือสังหาร และสาวไปจนถึงตัวบงการที่จ้างวานฆ่าได้แล้วส่วนจะมีความเกี่ยวโยงไปจนถึงผู้เสียผลประโยชน์รายอื่นๆ หรือจะมีการลงขันกันตามข้ออ้างที่ชาวบ้านเชื่อถือนั้น เราไม่สามารถที่จะสาวไปถึงได้ ยกเว้นจะมีพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติม

ในการดำเนินการสร้างความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่ ให้แก่ชาวบ้านที่ผ่านมานั้น ได้มีการโยกย้ายนายตำรวจที่ชาวบ้านไม่วางใจออกไปไกลจากพื้นที่จนไม่สามารถที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องได้อีก

"เราทำงานจนสามารถจับกุมคนร้ายได้แบบยกขบวนการแล้ว ยังมีใครจะจ้างอีกไหม จุดสูงสุดของชาวบ้านนั้นอาจมีไม่เท่ากัน ตำรวจทำคดีนี้จนถึงที่สิ้นสุดแล้วในวันนี้ นี่เป็นแต่เพียงความภาคภูมิใจที่เราจับได้อย่างไม่ผิดตัว แม้บางครั้งยังจะต้องควักเงินส่วนตัวออกจากกระเป๋าเข้ามาเสริมเพื่อให้เกิดการทำงานที่สำเร็จลงตัวได้ด้วยดีในส่วนที่งบประมาณลงมาไม่ทั่วถึงเพียงพอ" รองผู้การเจ้าของท้องที่เกิดเหตุระบุอย่างเต็มภาคภูมิ


ที่มา http://www.manager.co.th