การป้องกันและลดผลกระทบด้านสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล
สถานการณ์ปัญหาและผลกระทบ
๑.พืชชีวมวลเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือกากจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นจำนวนมาก สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (๒๕๔๕) รายงานว่าประเทศไทยมีชีวมวลจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทั้งหมด ๔๘,๐๐๐ ตัน ซึ่งสามารถผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง ๙,๖๓๐ เมกะวัตต์ ตามแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ – ๒๕๖๔) กำหนดเป้าประสงค์ให้เพิ่มการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ ๒๕ ของพลังงานที่ใช้ภายในประเทศภายในปี ๒๕๖๔ โดยกำหนดเป้าหมายพลังงานชีวมวลในการผลิตไฟฟ้าให้ได้ ๓,๖๓๐ เมกะวัตต์ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ๒๕๕๕)
๒.ถึงแม้จะมีเป้าหมายและความพยายามที่จะส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล แต่จากข้อมูลของสำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน กันยายน ๒๕๕๔ พบว่ามีโรงไฟฟ้าสามารถผลิตและขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เพียง ๘๔ แห่ง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม ๑,๓๙๗ เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ ๕.๖ ของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดเท่านั้น โดยในจำนวนนี้ ๒๔ แห่ง (๖๑๔ เมกะวัตต์) อยู่ในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก และ ๖๐ แห่งอยู่ในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (๗๘๓ เมกะวัตต์) และจากข้อมูลของกระทรวงพลังงานในปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเล็กมากอีก ๓๐๙ โครงการ (กำลังการผลิต ๒,๙๐๐ เมกะวัตต์) ที่อยู่ในระหว่างยื่นขออนุมัติโครงการ ซึ่งหากไม่มีการจัดการที่ดีพอปล่อยให้มีการดำเนินการเหมือนเช่นในปัจจุบัน ก็จะสร้างผลกระทบและความเดือดร้อนต่อประชาชน
๓. การประกอบกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ขาดการจัดการและควบคุมที่ดี ได้ทำให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งมลพิษจากสารและฝุ่นละอองที่ก่อให้เกิดโรคและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ฝุ่นจากกองขี้เถ้าที่เกิดจากการเผาชีวมวลและฝุ่นจากกองเชื้อเพลิงยังทำให้บ้านเรือน เสื้อผ้า และสิ่งของเครื่องใช้ของประชาชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าสกปรก มีปัญหาน้ำเสียและแย่งการใช้น้ำของชุมชนเนื่องจากการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวลในจังหวัดสุรินทร์โดยประชาชนและกลุ่มเครือข่าย (ทีมนักวิจัยชุมชน คณะทำงานพลังงานยั่งยืนจังหวัดสุรินทร์ มูลนิธิพัฒนาอีสาน ๒๕๕๕) พบปัญหาชาวบ้านขาดแคลนน้ำใช้หลังจากมีโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ มีปัญหาการจราจรหนาแน่นและมีรถบรรทุกวิ่งมากขึ้น และทำให้เกิดปัญหาถนนชำรุดเสียหาย และยังมีปัญหาความเดือดร้อนรำคาญจากปัญหากลิ่นเหม็น และเสียงดัง
๔. จากข้อมูลการเจ็บป่วยของประชาชนที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้าจำนวนสองแห่ง ในกลุ่มตัวอย่างจำนวน ๓๙๒ คน พบว่าโรคประจำตัวที่ประชาชนเป็นมากที่สุดคือ โรคภูมิแพ้ (ร้อยละ ๓๑.๖) รองลงมาคือโรคหอบหืด (ร้อยละ ๑๓.๐ ) และโรคหัวใจ (ร้อยละ๗.๑) ซึ่งจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ มีความสัมพันธ์กับการอยู่ใกล้โรงไฟฟ้า (p  .๐๐๑) และยังพบว่าผู้ที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้ามีอาการไอ เจ็บคอ ระคายเคืองจมูกและลำคอ หายใจขัด/หายใจไม่สะดวก แสบตา/ตาอักเสบ/ตาแดง และมีผื่นคัน ในช่วง ๑ สัปดาห์ที่ผ่านมา มากกว่าประชาชนที่อยู่ห่างออกไป (ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร ๒๕๕๔) เป็นจำนวนมาก
ปัญหาหลักและทางออกของการจัดการปัญหา
(ก) ขาดการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสุขภาพ และไม่มีการควบคุมผลกระทบต่อสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดต่ำกว่า ๑๕๐ เมกะวัตต์
๕.ชีวมวลเป็นเชื้อเพลิงที่เผาได้ยากเนื่องจากเชื้อเพลิงอยู่ในสถานะของแข็ง การเผามักจะมีสารที่ถูกเผาไม่หมดอยู่ระหว่างร้อยละ ๑๐ ถึง ๓๘ และสารเหล่านี้คือส่วนที่เป็นมลพิษซึ่งอาจอยู่ในรูปของฝุ่นละออง (Particulate) มีการประมาณการณ์ว่าการเผาชีวมวลจะทำให้เกิดฝุ่นละอองประมาณ ๓๐ - ๘๐ มิลลิกรัมต่อกิโลวัตต์ไฟฟ้าที่ผลิตได้ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM๑๐) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ประมาณ ๒๙๐ – ๘๒๐ มิลลิกรัมต่อกิโลวัตต์ และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ยังพบว่าในควันจากการเผาชีวมวลยังประกอบไปด้วยสารไฮโดรคาร์บอนกว่า ๖๐ ชนิด และสารอัลดีไฮด์และคีโตน ๑๗ ชนิด สารในกลุ่มนี้โดยเฉพาะสารกลุ่มพีเอเอช (PAH, Polycyclic aromatic hydrocarbons) เป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง ได้แก่ เบนซีน ฟอร์มาดีไฮด์ ๑,๓ บิวตะไดอีน และสไตรีน (Zhang and Smith, ๒๐๐๗) มีรายงานการศึกษาพบว่า การรับสัมผัสควันไฟที่เกิดจากการเผาชีวมวลเพื่อการทำอาหารและการให้ความอบอุ่นจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหลายชนิด ได้แก่ การระคายเคืองต่อตาและระบบทางเดินหายใจ ลดการทำงานของปอด ทำให้เกิดโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหอบหืด วัณโรค และทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด (Torres-Duque, et al., ๒๐๐๘)
๖. ฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถผ่านเข้าไปถึงปอดและถุงลมปอดได้ ผลการศึกษาทั่วโลกยืนยันว่าการรับสัมผัสมีผลต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคในระบบหายใจ โรคหัวใจ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง และเพิ่มอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคปอดและหัวใจ (WHO, ๒๐๐๖) ออกไซด์ของไนโตรเจนเป็นก๊าซที่สามารถรวมตัวกับไอน้ำแล้วทำให้เกิดกรดไนตริก ซึ่งมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ การรับสัมผัสจะระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ อาจทำให้มีอาการหายใจลำบาก ไอ แน่นหน้าอก และหลอดลมตีบ ทำให้ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอยู่แล้วจับหืดบ่อยขึ้น ทำให้เกิดโรคหลอดลม และโรคปอดบวม (WHO, ๒๐๐๖) ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และการเกิดอาการหัวใจวาย การรับสัมผัสในระดับความเข้มข้นสูงจะทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว (WHO, ๒๐๐๓) จากข้อมูลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสลักได และตำบลราม ซึ่งเป็นพื้นที่รอบโรงไฟฟ้ามุ่งเจริญ พบว่า ผู้มารับการรักษาจำนวน ๗,๐๔๐ คน เป็นผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจมากที่สุดคือ ๒,๒๘๕ คน คิดเป็น ๓๒.๔๖% ของผู้มารับการรักษา สอดคล้องกับข้อมูลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลราม พบว่าผู้มารับการรักษา ๙,๘๔๐คน เป็นผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจมากที่สุด คือ ๓,๓๘๒ คน คิดเป็น ๓๔.๓๗%
๗. นอกจากนี้โรงไฟฟ้าชีวมวลยังมีส่วนทำให้เกิดก๊าซโอโซน (O๓) ซึ่งเกิดการทำปฏิกิริยาของก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนที่เกิดขึ้นจากการเผาเชื้อเพลิงชีวมวลกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอนในอากาศ อันตรายของก๊าซโอโซนที่สำคัญคือ ทำให้เกิดความผิดปกติของโลหิต ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ เพิ่มอัตราป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ และลดประสิทธิภาพการทำงานของปอด มีส่วนทำให้เกิดโรคหอบหืด และโรคมะเร็งปอด รวมถึงเพิ่มอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มผู้สัมผัส (WHO, ๒๐๐๓)
(ข) ปัญหาการหลีกเลี่ยงการทำอีไอเอของโรงไฟฟ้าขนาดต่ำกว่า ๑๐ เมกะวัตต์และการสร้างหลายโครงการในบริเวณเดียวกันเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
๘. ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมปี ๒๕๓๕ โรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดตั้งแต่ ๑๕๐ เมกะวัตต์ขึ้นไปต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA, Environmental Impact Assessment) และผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA, Health Impact Assessment) ส่วนโรงไฟฟ้าตั้งแต่ ๑๐ เมกะวัตต์ขึ้นไปทำเฉพาะรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จึงทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากอาศัยช่องว่างของกฎหมายดังกล่าว โดยการจัดทำโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาด ๙.๐ – ๙.๙ เมกะวัตต์ จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพบว่าในปี ๒๕๕๓ โครงการชีวมวลทั้งหมดที่เสนอขายไฟฟ้าทั้งหมด ๒๘๑ แห่งเป็นโครงการที่มีขนาด ๙.๐ - ๙.๙ เมกะวัตต์ ถึง ๒๐๕ แห่ง และมีผู้ประกอบการจำนวน ๔๑ รายจากทั้งหมด ๑๑๐ ราย ที่เคยยื่นขอประกอบกิจการในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ขอเปลี่ยนเป็นกลุ่มขนาดเล็กมาก (VSPP) (สำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ๒๕๕๔)
(ค) ขาดการสนับสนุนเทคโนโลยีที่ทันสมัย
๙. ในประเทศไทยโรงไฟฟ้าเกือบทั้งหมดใช้เทคโนโลยีชนิดที่เรียกว่า แบบเผาตรง (directed burning) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพต่ำและสร้างมลพิษสูง ประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าของระบบจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๒๐ - ๓๐ เท่านั้น จึงทำให้มีการใช้เชื้อเพลิงปริมาณมากและทำให้เกิดมลพิษเนื่องจากเผามากตามไปด้วย จำเป็นต้องมีการควบคุมมลพิษซึ่งอาจทำได้โดยการควบคุมคุณภาพของเชื้อเพลิง และที่สำคัญคือต้องใช้อุปกรณ์สำหรับกำจัดมลพิษที่ดี ซึ่งความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ แต่จะต้องมีการควบคุมการทำงานและการบำรุงรักษาระบบที่ดี ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร และยุวยงค์ จันทรวิจิตร ๒๕๕๕)
๑๐. ในขณะที่เทคโนโลยีแก๊สซิฟิเคชันเป็นเทคโนโลยีที่สะอาดกว่า ทำให้เกิดมลพิษน้อยกว่า ไม่ได้ถูกนำมาใช้เท่าที่ควร ในปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าที่ผลิตและจ่ายไฟเข้าระบบแล้วเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ดำเนินการโดยใช้เทคโนโลยีนี้ คือโรงไฟฟ้าซูพรีมรีนิวเอเบิลเอนเนอจี ตั้งอยู่ที่ ๑๐๑ หมู่ ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เป็นโรงไฟฟ้าดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๑ มีกำลังการผลิต ๑๕๐ กิโลวัตต์ โดยมีเชื้อเพลิงชีวมวลเป็นซังข้าวโพด ทั้งนี้อาจเกิดจากขาดการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างจริงจังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่มีกระบวนการสนับสนุนจากรัฐ (ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร และยุวยงค์ จันทรวิจิตร ๒๕๕๕)
(ง) ท้องถิ่นและประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการเลือกและในการควบคุมโรงไฟฟ้าชีวมวล
๑๑.ในปัจจุบันการออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน มีกระบวนการขั้นตอนตั้งแต่ การขออนุญาตก่อสร้างอาคารในพื้นที่ ซึ่งทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการอนุญาต ส่วนการออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งกระบวนการขออนุญาตดังกล่าว ส่วนใหญ่ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน โครงการส่วนใหญ่มักจะประชาสัมพันธ์ว่าสร้างงานให้กับชุมชน สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับท้องถิ่น แต่ไม่มีการนำเสนอด้านลบที่เป็นผลกระทบกับประชาชน มีการจูงใจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้านภาษีโรงเรือนที่ท้องถิ่นจะได้รับ ทำให้ละเลยข้อมูลที่เป็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน ถึงแม้จะเป็นโรงไฟฟ้าที่มีขนาด ๑๐ เม็กกะวัตต์ขึ้นไป ที่ต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่กระบวนการกำหนดขอบเขตการศึกษาข้อมูล ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างจริงจัง เป็นเพียงผู้ให้ข้อมูล แล้วบริษัทก็ทำมาตรการป้องกันแก้ไข จากนั้นก็ได้รับการพิจารณาอนุญาต กระบวนการที่ท้องถิ่นจะตัดสินใจว่ากิจการนี้เหมาะสมสอดคล้องกับพื้นที่ มีผลกระทบอย่างไรกับชุมชน ประชาชนมีส่วนร่วมน้อยมาก หรือหากประชาชนมีส่วนร่วมจริง เช่นตัดสินใจว่าชุมชนไม่ต้องการให้สร้างโรงไฟฟ้า มีการทำประชาคม มีประชาชนคัดค้านไม่ให้ก่อสร้าง แต่สุดท้ายคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ก็อนุญาต เพราะพิจารณาว่าผู้ประกอบการได้ดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว ความสำคัญที่ควรพิจารณาคือ การใช้ข้อมูลเพื่อพิจารณาตัดสินใจต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม มิฉะนั้นเสียงประชาชนจะไม่มีความหมายอย่างไรเลย ถึงแม้จะบอกว่าให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจก็ตาม
๑๒.จากการสอบถามความคิดเห็นของชาวบ้านที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าในจังหวัดพิจิตรและกำแพงเพชร (ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร ๒๕๕๔) พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๔๖.๒) ไม่เห็นด้วยกับการมีโรงไฟฟ้าในพื้นที่ และมีเพียงร้อยละ ๘.๒ ที่ตอบว่าเห็นด้วย โดยรวมทั้งสองพื้นที่เห็นด้วยว่าการมีโรงไฟฟ้าทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ คือ ทำให้ชุมชนมีปัญหาเรื่องมลภาวะอากาศ มีฝุ่นละออง (๘๐.๘%) ทำให้ชุมชนมีปัญหาเรื่องมลภาวะเสียง (๖๙.๕%) การมีโรงไฟฟ้าทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย (๖๓.๐%) ทำให้ถนนในหมู่บ้านชำรุดเนื่องจากรถบรรทุกวิ่งเข้า – ออกโรงไฟฟ้า (๖๒.๘%) ในขณะที่ร้อยละ ๙๙.๗ บอกว่าตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการควบคุมปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้า และร้อยละ ๙๕.๙ มีความต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการควบคุมปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้า โดยประชาชนร้อยละ ๙๖.๒ และ ๙๘.๒ ตามลำดับบอกว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าและหน่วยงานของรัฐไม่ได้มีการจัดการหรือแก้ปัญหา (ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร ๒๕๕๔)
๑๓.สำหรับการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่มาของโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ รวมทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลด้วย ระบบการวางแผนในปัจจุบันมีแผนหลักคือ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan) ซึ่งเป็นการวางแผนในระดับประเทศ แต่มีข้อจำกัดในด้านการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็น
๑๔.ดังนั้นประชาชนจึงยังไม่มีโอกาสในการเรียนรู้และทำความเข้าใจทางเลือกต่างๆ ในการผลิตไฟฟ้า หรือทางเลือกในด้านเทคโนโลยีหรือพื้นที่สำหรับก่อสร้างโรงไฟฟ้า และไม่มีส่วนร่วมในการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ หากไม่ใช่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ตั้งแต่ ๑๕๐ เมกะวัตต์เป็นต้นไป
(จ) ขาดการกระจายประโยชน์จากการพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวลไปสู่เกษตรกร
๑๕.การพัฒนาชีวมวลในการผลิตไฟฟ้า เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากร ตัวอย่างเช่น ราคาแกลบจากเดิมประมาณ ๒๐๐ – ๓๐๐ บาทต่อตัน เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า ๑,๐๐๐ บาทต่อตันในปัจจุบัน แต่ผลประโยชน์จากแกลบดังกล่าว ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลส่วนใหญ่ในปัจจุบันเลือกใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักจะตกอยู่กับโรงสีข้าวไม่ได้กระจายไปสู่เกษตรกร ในขณะที่ชีวมวลอื่นๆ เช่น ซังข้าวโพด ฟางข้าว หรือชีวมวลอื่นๆ กำลังเริ่มพัฒนา ยังไม่มีระบบหรือกลไกที่ชัดเจนในการแบ่งปันประโยชน์จากทรัพยากรชีวมวลไปสู่เกษตรกร ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเอง ก็เป็นบริษัทเอกชน โดยยังไม่มีการเปิดให้ชุมชนเข้าไปร่วมเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นแต่อย่างใด
๑๖. สำหรับกองทุนพัฒนาไฟฟ้าของชุมชนในพื้นที่โรงไฟฟ้า มีวัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน และส่งเสริมความรู้และการมีส่วนร่วมทางด้านไฟฟ้า (พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.๒๕๕๐)
๑๗. ดังนั้นผลประโยชน์จากการพัฒนาชีวมวลเป็นพลังงานไฟฟ้า ยังไม่มีระบบหรือกลไกในการกระจายประโยชน์ไปสู่เกษตรกร
(ฉ) ขาดการกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรฐาน ด้านการกำหนดพื้นที่
๑๘. การศึกษาร่างผังเมืองรวมจังหวัดที่มีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล พบว่าปัจจุบันพื้นที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลส่วนมากถูกกำหนดเป็นการใช้ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมและพื้นที่ประเภทอนุรักษ์ชนบทเกษตรกรรม โดยไม่มีการกำหนดเป็นบริเวณเฉพาะที่มีระยะห่างจากชุมชนที่เหมาะสมไว้ และข้อกำหนดผังเมืองที่ให้หรือห้ามโรงไฟฟ้าชีวมวลในการใช้ที่ดินประเภทดังกล่าวมีความแตกต่างกันมากในเรื่องการอนุญาตให้มีโรงไฟฟ้า โดยบางจังหวัดมีข้อกำหนดห้ามกิจการโรงไฟฟ้า แต่ในบางจังหวัดไม่มีข้อห้าม
๑๙. นอกจากนี้ การจัดประเภทอุตสาหกรรม ที่จะพิจารณากำหนดว่าให้ หรือห้าม ในบริเวณใดนั้น โรงไฟฟ้าชีวมวล ถูกจัดไว้ตามการแบ่งประเภทโรงงานตามการแบ่งประเภทโรงงานอุตสาหกรรมประเภท โรงงานผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า ซึ่งรวมกิจการโรงไฟฟ้าทุกประเภทไว้ในหมวดเดียวกัน แต่ในลักษณะการผลิตและผลกระทบ ตลอดจนการใช้พื้นที่ การใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทมีความต่างกัน การถูกจัดไว้ในกลุ่มเดียวกันตามการพิจารณาอนุญาตโรงงานจึงอาจจะกว้าง และไม่ชัดเจนเพียงพอต่อการพิจารณากำหนดการใช้ประโยชน์พื้นที่ที่จะไม่ก่อผลกระทบ
นโยบาย กฎหมาย และมาตรการ ที่เกี่ยวข้อง
๒๐.แผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกของกระทรวงพลังงาน กำหนดเป้าประสงค์ให้เพิ่มการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ ๒๕ ของพลังงานที่ใช้ภายในประเทศภายในปี ๒๕๖๕ โดยกำหนดเป้าหมายพลังงานชีวมวลในการผลิตไฟฟ้าให้ได้ ๓,๖๓๐ เมกะวัตต์ (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, ๒๕๕๕)
๒๑.กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีหมวดที่ว่าด้วย ที่ตั้ง สภาพแวดล้อม ลักษณะอาคารและลักษณะภายในของโรงงาน และการห้ามตั้งโรงงานจำพวกที่ ๓ แต่ในกฎกระทรวงนี้ไม่ได้มีการกำหนดระยะห่างระหว่างโครงการกับชุมชน มีเพียงบ้านจัดสรร อาคารชุด และบ้านแถว
๒๒.ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การทำรายงานเกี่ยวกับการศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย พ.ศ.๒๕๕๒ โรงไฟฟ้าชีวมวลถูกกำหนดไว้ในบัญชีแนบท้ายประกาศฯ ประเภทหรือชนิดของโรงงานตามบัญชีท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๕) สำหรับโรงงาน ผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (ลำดับที่ ๘๘) เพื่อใช้ประกอบการยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หรือคำขอรับใบอนุญาตขยายโรงงาน
๒๓.สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการจัดทำ (ร่าง) ประมวลหลักการปฏิบัติงาน (Code of practice : COP) ซึ่งจะใช้เป็นแนวทางให้กับผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตดติดตั้งต่ำกว่า ๑๐ เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถใช้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นมาตรฐานเดียวกัน ครอบคลุมตั้งแต่ระยะเตรียมการก่อสร้าง ระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ ตลอดจนกรณีที่มีการรื้อถอนอาคารบางส่วนหรือทั้งหมด
๒๔.พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมปี ๒๕๓๕ กำหนดให้โรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดตั้งแต่ ๑๕๐ เมกะวัตต์ขึ้นไปต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) และให้โรงไฟฟ้าตั้งแต่ ๑๐ เมกะวัตต์ขึ้นไปทำเฉพาะรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จึงทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากอาศัยช่องว่างของกฎหมายดังกล่าว โดยการจัดทำโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาด ๙.๐ – ๙.๙ เมกะวัตต์
๒๕.โดยสรุป ชีวมวลเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกที่สำคัญของประเทศไทย แต่ยังมีปัญหาที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีมาตรการและแนวทางป้องกันและควบคุมผลกระทบต่อสุขภาพที่ดี แนวทางและพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานการกำหนดพื้นที่ การจัดการผลกระทบโดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิตต่ำกว่า ๑๐ เมกะวัตต์ การส่งเสริมเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและมีมลพิษต่ำ การกระจายอำนาจในการควบคุมโรงไฟฟ้า มาตรการและกลไกที่ให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจและควบคุมการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ตลอดจนการมีคู่มือและแนวทางศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพจากโรงไฟฟ้าชีวมวล