เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แรงงานต่างด้าวไม่ว่าจากทั้ง
ประเทศพม่า เขมร และลาว
กลายมาเป็นกลุ่มแรงงานพื้นฐานให้กับภาคอุตสาหกรรมในบ้านเรามากขึ้น
ปริมาณชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาใช้แรงงานในบ้านเราเพิ่มมากขึ้นทุกปี
เพราะเศรษฐกิจในประเทศไทยยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับช่องว่างที่เกิดจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานคนไทย
ทั้งหมดนี้ทำให้แรงงานต่างด้าวเริ่มมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นต่อการขับเคลื่อน
กิจการของบริษัทน้อยใหญ่ในบ้านเรา
แต่ดูเหมือนว่า แรงงานต่างด้าวเหล่านี้
ยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ควรจะเป็น
และที่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะจากการสำรวจพบว่า
แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง ต่างต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ
ขาดสวัสดิการพื้นฐานของชีวิต
และประสบปัญหาการกดค่าแรงจากนายจ้างที่เอารัดเอาเปรียบ ทั้งๆ ที่จริงๆ
แล้วแรงงานกลุ่มนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้งานภาคการผลิตดำเนินไปได้
อย่างราบรื่นไม่ติดขัด
ภาครัฐบาลเองได้พยายามเข้ามามีส่วนกระตุ้นให้บรรดาแรงงานต่างด้าวท ี่เข้า
มาในประเทศเราได้รับสวัสดิการที่เหมาะสม
และได้รับการประพฤติปฏิบัติเยี่ยงผู้ใช้แรงงานสัญชาติไทย
อย่างเช่นการจัดทำบันทึก และลงทะเบียนประวัติแรงงานต่างด้าว
การเปิดให้ทำบัตรต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
และล่าสุด ได้มีการผลักดันให้แรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิคุ้มครอง
และการรักษาพยาบาล ตามมติของ ครม. เรื่องการดูแลสุขภาพของแรงงานต่างด้าว
โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินงานด้านการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวให้
แล้วเสร็จ
และให้แรงงานต่างด้าวเหล่านี้ได้มีบัตรประกันสุขภาพเพื่อให้ได้รับสิทธิการ
รักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย
จากเวทีสาธารณะครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นที่ อ. สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี
ที่ใช้ชื่อว่า "การขายบัตรประกันสุขภาพแก่แรงงานบ้านพระเจดีย์"
โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.
พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการส่งเสริมให้แรงงานต่างด้าวมีบัตรประกัน
สุขภาพ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ได้แก้ กลุ่มแรงงานชาวพม่า ประมาณ 200
คน บุคลากรทางการแพทย์ 30 คน และกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ 12 แห่ง
การสำรวจพบว่าแรงงานพม่าส่วนใหญ่เห็นด้วย 60%
เนื่องจากเห็นว่าหากมีบัตรประกันสุขภาพ
ทำให้รู้สึกถึงการได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกับคนไทยและไม่ต้องกังวลเรื่องค่า
ใช้จ่ายในส่วนเกินที่ต้องเสีย ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ 90%
เห็นด้วยกับการขายบัตรประกันสุขภาพ ขณะที่ผู้ประกอบการเห็นด้วย 50%
แต่ควรจะมีมาตรการ หรือเงื่อนไขที่ระบุชัดเจนคือ
ต้องให้แรงงานมีอายุการทำงานเกิน 6 เดือนขึ้นไป
ถึงจะสามารถเข้าโครงการบัตรประกันสุขภาพได้
เพราะแรงงานพม่ามักเปลี่ยนงานบ่อยคือ ทำงานได้เพียง 2 - 3 วัน แล้วก็ลาออก
ไปโดยไม่แจ้ง ทำให้โรงงานต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
คุณเสรี ทองมาก
ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีปัญหาสถานะบุคคล
และรูปแบบการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ
ภายใต้กลุ่มโครงการพัฒนารูปแบบการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพสำหรับผู้มีปัญหา
สถานะบุคคลและสิทธิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
กล่าวว่า
เป็นเรื่องจำเป็นที่เจ้าของกิจการจะต้องหาระบบประกันสุขภาพมารองรับ
สวัสดิการของชาวต่างด้าวในสังกัด เพราะหากประเทศพม่าเปิดมากขึ้น คงไม่มี
แรงงานคนใด อยากจะทำงานในประเทศที่มีแต่การเอาเปรียบ ดูถูก
และไม่มีสวัสดิการที่ดี และไม่มีความมั่นคงในชีวิต
ปัญหาด้านหนึ่งของการสร้างระบบประกันสุขภาพในกลุ่มแรงงานต่างด้าว
คือเรื่องของความไว้วางใจ โดยนายรังสิมันต์ ทองสวัสดิ์
ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านพระเจดีย์สามองค์ กล่าวว่า
"การเข้าถึงบริการประกันสุขภาพของแรงงานต่างด้าวยังมีความหวาดกลัว
หวาดระแวง เพราะบางครั้ง
การประกันสุขภาพยังไม่ให้ความมั่นคงกับพวกเขาเพียงพอ ทำให้รู้สึกว่า
ยังไม่ได้รับสิทธิที่ควรจะได้อย่างเต็มที่
ฉะนั้นควรให้ความมั่นใจกับแรงงานกลุ่มนี้ด้วย
โดยหากดำเนินการให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบการประกันสุขภาพ
ทุกคนได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลในยามที่เจ็บป่วยเช่นเดียวกับคนไทย
ก็น่าเชื่อได้ว่า ในอนาคตจะมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศมากยิ่งขึ้น
สุดท้ายผลประโยชน์ต่างๆ ก็จะอยู่กับประเทศไทย"
หากกลุ่มแรงงานต่างด้าวได้รับการดูแลที่ดี
และทำให้เขารักเมืองไทยเหมือนกับบ้านของตัวเอง
ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้เขาทุ่มเททำงานให้กับองค์กร
เพราะแม้จะเป็นเพียงฝ่ายผลิต หรือคนงาน
แต่คนกลุ่มนี้ก็มีความสำคัญไม่ใช่น้อยในการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินไปข้าง
หน้าเช่นเดียวกับผู้บริหารคนไทยนั่นเอง
ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 26 มิ.ย. 55
ภาพประกอบ จาก posttoday