เจเรมี ฮันต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ระหว่างปี 2012-2018 วิจารณ์รัฐบาลสหราชอาณาจักรว่า "ขยับตัวยังไม่เร็วพอ" ในการสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่คร่าชีวิตชาวอังกฤษไปแล้ว 10 ราย และทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้วเกือบ 600 ราย

คนจำนวนมากประหลาดใจและกังวลว่าเรายังขยับตัวไม่เร็วพอ" นายฮันต์ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 เมื่อค่ำวันที่ 12 มี.ค. ไม่กี่ชั่วโมงหลังการแถลงข่าวของ นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีเรื่องมาตรการล่าสุดในการรับมือกับไวรัสโคโรนา

นายจอห์นสันเรียกการระบาดที่กำลังเกิดขึ้นว่าเป็น "วิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขที่เลวร้ายที่สุดแห่งยุคสมัย" และเตือนว่าจะมีจำนวนครอบครัวมากมายที่จะต้อง "สูญเสียคนที่รักก่อนเวลาอันควร"

ทว่ารัฐบาลของสหราชอาณาจักรยังไม่สั่งปิดโรงเรียน หรือห้ามการรวมตัวกันในพื้นที่สาธารณะ เช่นการไปชมการแข่งกีฬา การแสดงดนตรี แม้หลายประเทศในยุโรปได้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งแคว้นสก็อตแลนด์ที่ออกคำสั่งห้ามการชุมนุมสาธารณะที่มีคนมากกว่า 500 คน ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเพื่อลดภาระของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขมาตรการที่ประกาศออกมาเมื่อวันพฤหัสบดี ประกอบไปด้วย คำแนะนำต่อโรงเรียนในสหราชอาณาจักรให้ระงับการพานักเรียนไปทัศนศึกษาในต่างประเทศ คำแนะนำต่อผู้สูงอายุให้หลีกเลี่ยงการไปท่องเที่ยวกับเรือสำราญ และคำเตือนให้ผู้ที่มีอาการไข้หรือไอต่อเนื่องต้องกักกันตัวเองเป็นเวลา 7 วัน

ด้านนายฮันต์ ผู้ดำรงตำแหน่ง รมว. สาธารณสุข สมัยที่นายจอห์นสัน เป็น รมว. ต่างประเทศ เรียกร้องให้รัฐบาลของนายจอห์นสันเร่งออกมาตรการเร่งด่วนในการแยกกลุ่มคนที่สุ่มเสี่ยงต่อโรคนี้ โดยเฉพาะผู้สูงวัยให้ห่างจากผู้ที่อาจเป็นพาหะโรค โดยเขาเสนอสหราชอาณาจักรดูตัวอย่างมาตรการต่อสู้กับเชื้อไวรัสของระบบสาธารณสุขของไทย ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง

"ดูเหมือนว่า เราเห็นหลักฐานของความสำเร็จอย่างยิ่งยวดของหลายชาติในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสนี้ ดูประเทศไทยเป็นตัวอย่าง เป็นชาติแรกหลังจีนที่ได้รับเชื้อไวรัส ตอนนี้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพียง 59 ราย (ตัวเลขเมื่อ 11 มี.ค.) ส่วนไต้หวันที่อยู่ติดกับจีนก็มีเพียง 49 ราย" นายฮันต์ กล่าว

นายฮันต์ ซึ่งในขณะนี้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการสาธารณสุข ของสภาผู้แทนราษฎร อังกฤษ กล่าวด้วยว่า สิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งเป็นชาติที่ติดต่อใกล้ชิดกับจีน ถือเป็นสองชาติตัวอย่าง ที่ออกมาตรการต่าง ๆ รับมืออย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะ มีประสบการณ์ในการรับมือกับโรคซาร์ส (SARS) มาแล้ว