สช.เปิดเวที 'เด็กอ้วน มหันตภัยสู่โรคอนาคต' ชี้เด็กไทยอ้วนเพิ่ม 2 เท่า หวั่นโรครุมเร้า ค่ารักษาพุ่ง ระบุหากสังคมเอาจริงช่วยได้ ขณะเดียวกันไม่ควรผลักภาระการแก้ปัญหาให้โรงเรียน หรือภาครัฐอย่างเดียว ครอบครัว-ชุมชน ต้องร่วมมือกัน
เมื่อวันที่ 18 ส.ค.57 ที่โรงเรียนวัดผาสุกมณีจักร จ.นนทบุรี สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีเจาะประเด็น "เด็กอ้วน มหันตภัยสู่โรคอนาคต"
หนึ่งในอาหารที่ขายภายในโรงเรียน
นพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผู้อำนวยการสำนักวิจัยนโยบายส่งเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สวน.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วนเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุด โดยเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าในช่วงไม่กี่ปี ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงภาวะโภชนาการของผู้ใหญ่เช่นกัน ซึ่งสาเหตุหลักสำคัญ ได้แก่ สภาพแวดล้อมของสังคมไทยที่ทำให้เด็กง่ายต่อการบริโภคอาหาร และเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูง และอาหารหวานมันเค็ม แต่กลับมีกิจกรรมทางกายลดลง ทั้งนี้ โรคอ้วนนั้นส่งผลกระทบต่อคุณภาพประชาชนทั้งสุขภาพจิต ปัญหาการศึกษา และครอบครัวที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางวิชาการและประสบการณ์ของนานาชาติ ต่างแสดงให้เห็นว่า ปัญหาเด็กอ้วนนั้นสามารถแก้ไขได้ หากสังคมเอาจริง โดยมาตรการที่องค์การอนามัยโลกผลักดันถือว่าคุ้มค่า ได้แก่ การจัดการด้านภาษี และราคา รวมถึงการควบคุมโฆษณาอาหาร และเครื่องดื่มพลังงานสูง ตลอดจนระบบการติดตามและให้คำปรึกษา การณรงค์ และจัดสภาพแวดล้อม
โปสเตอร์ในโรงเรียนเพื่อรณรงค์เด็กๆ
ด้าน นางอรพรรณ ศรีสุขวัฒนา รองเลขาธิการ สช. ระบุว่า การแก้ไขปัญหาเด็กอ้วนในไทย ถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องดำเนินการอย่างบูรณาการ โดยมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้ขับเคลื่อนกลไกต่างๆ เช่น การผลักดันให้มีการเพิ่มงบประมาณอาหารกลางวันจาก 13 บาท ต่อคนต่อวัน เป็น 20 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งทำให้โรงเรียนนั้นสามารถจัดอาหารที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ กลไกที่สำคัญนั่นคือ การสร้างความร่วมมือกับคนในพื้นที่ และโรงเรียน เพื่อแก้แบบครบวงจร ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐ หรือโรงเรียนเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ส่วน นายวิชัย บำรุงศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนผาสุกมณีจักร กล่าวว่า โรงเรียนนั้นดำเนินการเพื่อลดเด็กอ้วนในโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในภาพรวมขณะนี้ยังมีเด็กอ้วนประมาณ 50-60 คน จากนักเรียนทั้งหมดกว่า 900 คน ซึ่งพบว่า สาเหตุหลักมาจากการขาดออกกำลังกาย พฤติกรรมการบริโภค และพื้นฐานในครอบครัว ทำให้โรงเรียนต้องเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความตระหนัก ด้วยการจัดอาหารกลางวันให้เด็กตามเมนูโภชนาการของมหาวิทยาลัยมหิดล ภายในโรงเรียนไม่มีร้านที่ขายอาหารทอด มัน และน้ำอัดลม นอกจากนี้ ทั้งช่วงเช้า กลางวัน เย็น ยังมีกิจกรรมให้เด็กได้ออกกำลังเช่น ตอนเช้า เต้นแอโรบิกสั้นๆ กลางวันฝึกเล่นฮูลาฮูป หรือกีฬาชนิดอื่น ส่วนตอนเย็น เป็นการเต้นแอโรบิกกับผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม แม้โรงเรียนจะเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ แต่พื้นฐาน และพฤติกรรมการบริโภคของครอบครัวก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เด็กนั้นลดน้ำหนักได้อย่างแท้จริงด้วย.

ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.thairath.co.th